หลายคนอาจละเลยเรื่องการเช็กลมยางรถยนต์ เพราะมักให้ความสำคัญกับเรื่องการตรวจเช็กสภาพเครื่องยนต์ หรือการเติมน้ำมันซะเป็นส่วนใหญ่ แต่!! อย่าลืม ว่ายางรถยนต์เป็นส่วนที่ต้องสัมผัสกับพื้นถนนโดยตรงอยู่ตลอดเวลาในขณะขับขี่ และยังเป็นส่วนที่ใช้แบกรับน้ำหนักในการบรรทุกทั้งหมดของรถยนต์เลยก็ว่าได้
คุณลองถามตัวเองดูซิว่า! คุณเติมลมยางหรือเช็กลมยางครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? หรือบางคนแทบไม่รู้เลยว่ารถยนต์ของตัวเองเติมแรงดันลมยางอยู่ที่เท่าไหร่? เพราะทุกครั้งมักจะใช้บริการเติมลมยางจากศูนย์บริการรถยนต์ หรือกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รถยนต์เกิดปัญหาและอาจสายเกินแก้ไปซะแล้ว
รู้หรือไม่ว่า? การเช็กลมยางเป็นประจำก่อนออกเดินทาง นอกจากจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางแล้ว การเติมแรงดันลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับประเภทรถยนต์และการใช้งาน ยังช่วยประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย วันนี้ แพนด้า สตาร์ออยล์ จะมาแนะนำการเติมลมยางที่ถูกต้อง และอันตรายที่อาจเกิดขึ้นหากเติมลมยางแข็งหรืออ่อนจนเกินไป เพื่อให้คุณขับขี่ได้อย่างปลอดภัยในทุกการเดินทาง
โดยทั่วไปค่าแรงดันลมยางจะถูกกำหนดมาตรฐาน ให้เหมาะสมกับรถยนต์แต่ละประเภทมาจากโรงงานผู้ผลิตรถยนต์อยู่แล้ว ผู้ขับขี่สามารถอ่านค่าแรงดันลมยางได้จาก คู่มือการใช้งานรถยนต์หรือแผ่นโลหะที่ติดอยู่ตรงขอบประตูรถยนต์ฝั่งคนขับ ซึ่งควรเติมลมยางให้อยู่ในระดับมาตรฐานที่กำหนดเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ อย่างเช่น
หาก เติมลมยางแข็ง เกินไป ถึงแม้ว่ารถจะออกตัวได้ดีในช่วงแรก เมื่อขับขี่ทำให้รู้สึกว่ารถพุ่งไปข้างหน้าและมีความเร็วเพิ่มมากขึ้น แถมยังช่วยประหยัดน้ำมัน แต่ในขณะเดียวกันการเติมลมยางที่แข็งจนเกินไปจะทำให้ยางยึดเกาะถนนได้ไม่ดี เนื่องจากหน้ายางจะยืดกว่าปกติทำให้สัมผัสกับผิวถนนได้น้อยลง อาจมีผลทำให้เกิดอุบัติเหตุตรงช่วงทางโค้ง หรือการขับขี่ขณะที่ฝนตกและถนนลื่นได้ ในกรณีที่รถเกิดการตกหลุม หรือเกิดการกระแทกอย่างรุนแรง ยางที่แข็งมาก ๆ ก็เสี่ยงต่อการเกิดยางระเบิดได้อีกด้วย
(ทั้งนี้ทั้งนั้นสำหรับในกรณีที่คุณต้องเดินทางไกลสามารถเติมลมยางให้สูงกว่าระดับมาตรฐานที่กำหนดได้ ประมาณ 2-3 psi หากมีผู้โดยสารเต็มคันและบรรทุกสัมภาระจำนวนมาก ควรเพิ่มแรงดันยางล้อคู่หลังให้มากกว่าปกติเช่นกัน )
หาก เติมลมยางอ่อน จะทำให้รู้สึกถึงสมรรถนะการขับขี่ที่นุ่มนวล แต่ในมุมกลับกัน ลมยางที่อ่อนจนเกินไป ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก และมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่มากกว่าการเติมลมยางแบบปกติ
เมื่อขับขี่รถยนต์ด้วยความเร็วสูง แรงดันลมยางที่ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนด หรือแม้แต่ยางที่อาจพบว่ามีการรั่วซึมอยู่แล้วก่อนหน้า จะทำให้แก้มยางสึกหรออย่างรวดเร็ว และในกรณีที่มีการขับขี่บนพื้นถนนที่ไม่เรียบ แก้มยางจะบิดตัวจนเกิดความร้อน ส่งผลให้แรงดันในลมยางเกิดการขยายตัวมากขึ้น ยิ่งเสี่ยงต่อการระเบิดของยางสูง
(ในการขับขี่แบบออฟโรดทางลาดชัน การลดแรงดันลมยาง เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้รถสามารถกระจายน้ำหนักได้สมดุลมากยิ่งขึ้น และยิ่งเมื่อยางรถยนต์สัมผัสกับพื้นผิวถนนได้มากเท่าไหร่ ก็จะสามารถดูดซับแรงกระแทกได้มากเท่านั้น ซึ่งเป็นตัวช่วยปกป้องล้อเมื่อต้องขับขี่บนถนนที่ขรุขระ )
ข้อควรระวัง!! ทุกครั้งที่ขับขี่ด้วยขนาดแรงดันลมยางที่ลดลงแล้ว ควรหลีกเลี่ยงและระมัดระวังเป็นพิเศษ ในกรณีที่ต้องหักเลี้ยวกะทันหัน เนื่องจากยางรถยนต์ไม่มีแรงดันเพียงพอ อาจเสี่ยงต่อการที่ยางจะแยกออกจากล้อได้
และอย่าลืม!! เติมลมยางกลับเข้าไปเหมือนเดิมทุกครั้ง เมื่อต้องกลับไปขับขี่บนถนนปกติ
ซึ่งการเติมลมยางอาจเพิ่มหรือลดได้ 3 - 5 psi ขึ้นอยู่กับประเภทการใช้งาน และสภาพของถนนในแต่ละพื้นที่ สำหรับรถที่ใช้ในการขับขึ้นเขาเป็นประจำ ก็ยังไม่มีค่าแรงดันลมยางที่เหมาะสม เนื่องจากต้องดูสภาพแวดล้อมของพื้นผิวถนน และขึ้นอยู่กับประเภทของรถยนต์ ประเภทล้อรถ หรือแม้แต่น้ำหนักในการบรรทุกในแต่ละครั้ง แต่ถ้าแรงดันยางต่ำ จะเป็นการกระจายน้ำหนักของรถมากเกินไปจึงไม่ทำให้เกิดแรงฉุดลาก
สำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์ทั่วไป ควรตรวจเช็กลมยางอย่างน้อยเดือนละ 1 - 2 ครั้ง เพราะโดยปกติแล้วลมยางรถยนต์จะลดปริมาณลง ประมาณ 2-3 ปอนด์ ต่อตารางนิ้วในหนึ่งเดือน หรือแม้แต่รถยนต์ที่จอดทิ้งไว้นาน ๆ หรือไม่ค่อยได้ใช้งาน ก็มีความจำเป็นที่ต้องตรวจเช็กลมยางอยู่เป็นประจำ เนื่องจากยางรถยนต์ยังได้รับแรงกดทับ และแบกรับน้ำหนักทั้งหมดของตัวรถยนต์อยู่ตลอดเวลา อาจส่งผลเสียต่อยางรถยนต์ภายหลัง เช่น ยางแบน ยางผิดรูปทรง หรือถึงขั้นยางแตก ทำให้ต้องเปลี่ยนยางใหม่ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ใช้งานเลย
เห็นกันแล้วใช่ไหมว่า การเติมลมยางนั้นสำคัญแค่ไหน สิ่งเล็ก ๆ ที่หลายคนมองข้าม แต่กลับเป็นจุดสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนรถยนต์คันนึงได้อย่างปลอดภัย เพราะฉะนั้นควรหมั่นตรวจเช็กสภาพรถยนต์และลมยางอยู่เป็นประจำ รวมถึงการเติมลมยางให้อยู่ในระดับมาตรฐานที่กำหนด เพื่อความปลอดภัยในทุกการเดินทาง